วันพฤหัสบดีที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2553

การใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกวิธี

ปัจจุบัน "คอมพิวเตอร์" กลายเป็นสิ่งอำนวยความสะดวกที่คนทำงานอย่างเราไม่ใช้ ไม่ได้แล้ว ดังนั้นควรรู้วิธีการใช้คอมพิวเตอร์อย่างถูกต้องด้วย วันนี้เกร็ดความรู้มีเรื่องนี้มาฝากกัน...




เริ่มจากแสงสว่างจากตัวคอมพิวเตอร์สามารถปรับให้เหมาะสมกับดวงตาได้ จะปรับขนาดไหนไม่มีข้อกำหนด เพียงแต่จัดแสงให้ตาเรารู้สึกสบาย และ จะใช้สกรีนติดหน้าจอเพื่อลดความจ้าของแสงก็ได้ หรือลดแสงแม่เหล็กไฟฟ้าที่มีน้อยมากจากจอ และสกรีนเหล่านี้ ก็มีขายตามท้องตลาดทั่วไป




ส่วนการป้องกันไม่ให้ตาเมื่อยล้ากล้ามเนื้อ หลังปวด หรือแสบตา ก็ควรนั่งในท่าที่เหมาะสม และห่างจากจอคอมพิวเตอร์ประมาณ 20-30 นิ้ว สกรีน คอมพิวเตอร์ให้อยู่ต่ำกว่าระดับสายตาประมาณ 20-26 องศาจัดเอกสารที่ต้องใช้ดูประกอบไว้ใกล้กับจอเครื่องคอมพิวเตอร์ จะได้ลดการส่ายศีรษะไปมามาก และลดการเปลี่ยนระยะการดูของตา ในระยะที่ต่างกันมาก




อย่าให้มีฝุ่นเกาะจอคอมพิวเตอร์ ควรทำความสะอาดเสมอ พักสายตา พักอิริยาบถทุก ๆ 20 นาที เพื่อป้องกันตาเมื่อย กะพริบตาบ้าง ถ้ารู้สึกแสบตา หรือใช้น้ำตาเทียมหยดเป็นครั้งคราว




จอภาพคอมพิวเตอร์ต้องโฟกัสชัดเจน ตัวหนังสือ ภาพในจอให้ปรับให้ชัดเสมอผู้ที่มีอายุเกิน 40 ปี และจำเป็นต้องใช้แว่นอ่านหนังสือ ควรใช้แว่นอ่านหนังสือที่เหมาะสม และไม่ควรใช้แว่น 2 ชั้น หรือแว่นไม่มีชั้น เพราะจะทำให้ต้องเงยหน้าอ่านข้อความในจอตลอด ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้ปวดต้นคอเพิ่มขึ้นอีก




จะใช้คอมพิวเตอร์ครั้งต่อไปก็อย่าลืมนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันดูได้

ยืดอายุด้วยการเดิน

การออกกำลังที่แสนจะง่าย
ใครที่ไม่ถูกโฉลกกับการออกกำลังกายอย่างแรง มีกิจกรรมที่แสนง่ายที่สุดในโลก ให้คุณได้ใช้พลังงานแล้วนะ อันได้แก่การเดิน เดิน เดิน แล้วก็เดินนี่แหละ ง่าย สะดวก และทุกคนสามารถทำได้






โดยผลที่เกิดขึ้นพบว่า ผู้หญิงที่เดินเร็วทุก ๆ หนึ่งชั่วโมงต่อวัน จะลดโอกาสเป็นโรคอ้วน 24% และลดโอกาสเป็นโรคเบาหวานถึง 34% นอกจากนี้ยังพบว่า ผู้หญิงรวมทั้งผู้ชายที่เดินมากกว่าสามชั่วโมงต่อสัปดาห์ จะลดโอกาสเสี่ยงลงในการเป็นอัมพาตและโรคหัวใจลงเกือบครึ่ง แถมอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็ง โดยเฉพาะโรคมะเร็งเต้านม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งตับอ่อนยังพลอยลดตามไปด้วย






สำหรับผู้สูงอายุ เด็กและประชาชนทั่วไป ควรเดินอย่างน้อยครึ่งชั่วโมงต่อวัน ทุกวัน หรือ 3-4 วันต่อสัปดาห์ โดยแต่ละครั้งที่เดินควรจะติดต่อกันนานกว่า 10 นาที






หลักง่าย ๆ ก็คือ ควรจะค่อย ๆ เดินเร็วขึ้นเท่าที่จะเดินไหว แต่ก็ไม่เร็วจนหอบ ถ้าเดินเร็วไม่ได้ การเดินจงกรมกลับไปมาช้า ๆ อย่างมีสติ อย่างน้อยวันละครึ่งชั่วโมง ก็ถือเป็นอีกทางเลือกที่ดีเช่นกัน ที่สำคัญควรใส่รองเท้าที่เหมาะสมกันลื่น หกล้ม หลีกเลี่ยงการเดินในที่เปลี่ยว เดินบนทางเท้า หากมีโรคประจำตัวควรมีเอกสารแสดงไว้กับตัว และควรกันเหนียวด้วยการเตรียมเพื่อนเดินเสมอ






แต่ถ้าหากไม่มีเวลาจริง ๆ ควรเดินให้มากที่สุดเท่าที่จะมีเวลา เช่น เดินขึ้นบันไดแทนลิฟต์ หากเดินแล้วปวดเข่าโดยเฉพาะคนอ้วนหรือน้ำหนักเกิน ควรใช้ความร้อนประคบลดอาการปวด






อันที่จริงการเดินเป็นกิจวัตรประจำวันที่คนทั่วไปทำอยู่แล้ว เพียงแต่ยืดระยะเวลาและความเร็วในการเดินให้มากขึ้น ก็จะมีผลดีต่อสุขภาพอย่างมาก ทำให้อายุยืนยาวขึ้น ลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคหลอดเลือดหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง ลดโอกาสเป็นโรคอ้วน โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันผิดปกติ โรคมะเร็ง และโรคหัวใจและหลอดเลือด






การเดิน เป็นทางแห่งสุขภาพที่ทำได้ง่ายที่สุดทางหนึ่ง พูดง่าย ๆ รู้แล้วถ้ายังขืนขี้เกียจออกกำลังกายด้วยการเดินอีก ก็คงไม่รู้ว่าจะพูดว่าอย่างไรแล้ว

วันพุธที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2553

ดอกไม้ประจำวันเกิด

เธอที่เกิดวันอาทิตย์


ต้นไม้ประจำวันเกิดเป็น ต้นพวงแสด ต้นพุทธรักษา ต้นธรรมรักษา และต้นเยอร์บีร่าที่มีดอกสีส้ม ส่วนดอกไม้ประจำวันเกิดเป็นดอกกุหลาบสีส้ม จะถูกโฉลกกับเธอที่เกิดวันอาทิตย์ ผู้มีนิสัยทะเยอทะยานและกระตือรือลัน เธอและดอกไม้มีความหมายถึงความฝันอันยิ่งใหญ่ ดอกไม้อีกชนิดสำหรับผู้เกิดวันนี้คือ ดอกทานตะวัน อันเป็นสัญลักษณ์คู่กับพระอาทิตย์เสมอ บอกถึงตัวเธอที่เชื่อมั่น หัวสูง ถือตัว และหยิ่งในศักดิ์ศรีด้วย

เธอที่เกิดวันจันทร์


ต้นไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ต้นมะลิ ต้นแก้ว ต้นพุด ต้นจำปี ยิ่งถ้าปลูกแล้วออกดอกหอม เธอจะยิ่งโชคดี ดอกไม้ประจำวันเกิดคือดอกมะลิขาวสะอาด หมายถึงตัวเธอที่มีความนุ่มนวลอ่อนโยน เรียบร้อย ส่วนดอกไม้อีกชิดคือ ดอกกุหลาบขาว หมายถึงความรักที่อ่อนโยนและไม่ต้องการสิ่งใดตอบแทน เพราะคนวันจันทร์มักอ่อนไหวง่าย โรแมนติก และช่างฝัน

เธอที่เกิดวันอังคาร


ต้นไม้ที่แสนดีของเธอคือ ต้นชัยพฤกษ์ ต้นชมพูพันธุ์ทิพย์ ต้นยี่โถ ออกดอกสีชมพู ต้นเข็มออกดอกสีชมพู ถ้าต้นไม้ของเธอออกดอกมากๆ บอกได้ว่าเธอกำลังมีความสุขดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกล้วยไม้ โดยเฉพาะที่ออกดอกสีชมพู เพราะมีความหมายถึงความรักที่ร้อนรุ่ม หวือหวา วูบวาบตามอารมณ์ของคนที่เกิดวันนี้

เธอที่เกิดวันพุธ


ต้นไม้ประจำตัวคนที่เกิดวันพุธนั้นพิเศษกว่าคนอื่นตรงที่เป็นต้นไม้ใบเขียว โดยเฉพาะต้นกระดังงา ต้นสนฉัตร ดังนั้นเธอควรปลูกต้นไม้เยอะๆ ถึงจะโชคดี ต้นไม้เหล่านั้นจะช่วยปกป้องคุ้มครองเธอได้ คือ ดอกบัว หมายถึงจิตใจอันสงบ เพราะคนที่เกิดวันพุธมักชอบเป็นนักการทูตและรัก สันติภาพดอกไม้ประจำวันเกิดคือ คือดอกบัว ซึ่งคนที่เกิดวันพุธมักจะเป็นนักคำนวณ (เงิน) สีเหลืองอร่ามราวกับทองของดอกไม้ชิดนี้ หมายถึงรักของเธอต้องมาพร้อมเงิน


เธอที่เกิดวันพฤหัสบดี


เธอที่เกิดวันนี้ มีต้นไม้ประจำตัวคือ ต้นโสน ต้นราชพฤกษ์ และต้นบานบุรี หากมีต้นไม้เหล่านี้อยู่ในบ้านจะช่วยคุ้มครองดูแลเธอ ดอกไม้ประจำวันเกิดของเธอคือ ดอกกุหลาบสีเหลือง หมายถึงการเปลี่ยนแปลงในเรื่องความรัก รักซ้อนซ่อนใจ เพราะคนที่เกิดวันนี้เป็นคนรักงายหน่ายเร็ว เจ้าชู้เล็กๆ ดอกไม้อีกชนิดหนึ่งคือดอกคาร์เนชั่นสีชมพู หมายถึงรักของเธอที่อ่อนโยนและอ่อนหวาน เธอที่เกิดวันนี้ จริงๆ แล้วเป็นคนสุภาพอ่อนโยนและมีอารมณ์ขัน น่ารักเหมือนดอกไม้ของเธอนั่นแหละ
 
เธอที่เกิดวันศุกร์

ต้นไม้ที่แสนดีของคนที่วันศุกร์คือ ต้นพยับหมอก ต้นแส ต้นอัญชัน ส่วนดอกไม้ที่ถูกแลกโชคดีของเธอคือ กุหลาบทุกสี เพราะคนที่เกิดวันศุกร์มักเป็นนักรักที่ยิ่งใหญ่มีเสน่ห์ล้นเหลือหรือจะเป็นดอกไม้เจ้าเสน่ห์ที่มีความหมายหวานแหววแบบดอกไวโอแลตว่า "ฉันรักเธอแล้ว หากรักฉันก็บอกกันบ้างนะ" คนเกิดวันศุกร์บางอารมณ์ก็โลเล จึงได้ดอกลาเวนเดอร์ที่มีความหมายถึงรักที่สับสน ไม่แน่นอน ไปครองอีกดอกหนึ่ง
 
เธอที่เกิดวันเสาร์


จะมีต้นไม้พวก ตันกัลปังหา ต้นพวงคราม ต้นอินทนิล เป็นต้นไม้ประจำวันเกิด และดอกไม้ประจำวันเกิดคือ ดอกลิลลี่ อันหมายถึงรักครั้งแรก รักที่บริสุทธิ์เพราะคนที่เกิดวันเสาร์เป็นคนจริงจังและซีเรียส จึงรักใครยากหน่อย ทว่าดอกลิลี่เป็นดอก

ความรัก... ก้าวเดิน

ความรัก” ของคนเรา ก็มีเท้าเดินเหมือนกัน

เมื่อแรกเริ่ม . . . ความรักก็เดินไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

เพราะ . . . อยากจะถึงจุดหมายที่หวังไว้





คือ . . . ใครคนหนึ่งที่เรารู้สึกดีๆด้วย

เมื่อสมหวังแล้วความรักก็เดินไปเรื่อยๆ

. . . ไม่ต้องก้าวยาวและเร็ว

. . . เดินไปตามปกติและก้าวต่อไปเรื่อยๆ

. . . ในช่วงนี้ถ้าเดินเร็วไปอาจจะเจอหลุมและสะดุดได้

ก็คงจะต้องเดิน . . . อย่างระมัดระวัง

. . . และก้าวให้ได้จังหวะ . . . ที่เหมาะสม





แต่เมื่อถึงเวลา . . . ที่ความรักผิดหวังหรือจบลง

ความรัก . . . ก็จะเดินช้าลง

บางทีอาจจะช้า . . . ช้าจนเหมือนเราเดินถอยหลัง



เหมือนกับ . . . คนที่หกล้มแล้วขาเจ็บ

จะเดินไม่ถนัดนัก . . . ต้องรอเวลาเพื่อรักษาให้แผลที่เกิดจากการหกล้มหาย

แล้วค่อยก้าวเดินต่อไป . . . อย่างปกติ







ความรักก็มี step ในการก้าวเดินไปอย่างนี้เรื่อยๆ

ช้าบ้าง . . . เร็วบ้าง จนกว่าจะถึงวันหนึ่งที่เราได้เจอคนที่ใช่จริงๆ

วันนั้น . . . ความรักคงเดินต่อไปได้เรื่อยๆ



ถึงจะหกล้มบ้าง ตกหลุมบ้าง

แต่ . . . ก็ยังมีคนที่คอยประคอง คอยเดินไปด้วยกัน

ไม่ใช่หกล้มแล้ว . . . ต้องลุกเดินต่อด้วยตัวเองอีกต่อไป

เมื่อความรัก . . . ก้าวเดิน

เราจึงต้องก้าวตาม . . . อย่างระมัดระวัง

จะหกล้มบ้าง จะสะดุดบ้างก็ต้องพยายามลุกขึ้น

. . . และกลับมาเดินต่อไป ให้ได้ . . .

กินอย่างไร...ให้สุขภาพดี

มีข้อแนะนำ 7 เคล็ดลับการกินเพื่อสุขภาพ ดังนี้



1.กินอาหารเช้าเป็นประจำ มื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุด และควรเป็นมื้อที่มีคุณค่าครบทั้ง 5 หมู่ในปริมาณที่เหมาะสม เพราะนอกจากจะช่วยเติมพลังให้ร่างกายและสมองแล้ว ยังช่วยลดระดับโคเลสเตอรอลในเส้นเลือด ช่วยให้การเผาผลาญพลังงานดีขึ้น



2.เลือกอาหารจากธรรมชาติไม่ขัดสี เช่น ข้าวกล้อง ข้าวบาร์เลย์ (มอลต์) ถั่ว ข้าวสาลี (โฮลวีต) เมล็ดทานตะวัน เป็นต้น อาหารเหล่านี้มีคุณค่าทางโภชนาการสูง และเป็นแหล่งรวมของแร่ธาตุ วิตามิน โปรตีนที่ปราศจากโคเลสเตอรอลและคาร์โบไฮเดรตเชิงซ้อน มีสารแอนติออกซิแดนท์ ใยอาหาร และปัจจัยอื่น ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ นอกจากนี้ยังช่วยลดโคเลสเตอรอลและความดันโลหิต หรืออาจเลือกอาหารที่มีส่วนผสมของธัญพืชไม่ขัดสี เช่น ขนมปังโฮลวีต ซีเรียลจากมอลต์ เป็นต้น



3.เพิ่มผักและผลไม้ในมื้ออาหาร และกินเป็นประจำ เพื่อเพิ่มวิตามิน เกลือแร่ และสารอื่นๆ ที่จำเป็นต่อร่างกาย ช่วยลดความเสี่ยงโรคหัวใจ และช่วยนำโคเลสเตอรอลและสารก่อมะเร็งบางชนิดออกจากร่างกาย ทำให้ลดการสะสมของสารก่อมะเร็งบางชนิด และมีกากใยช่วยในการขับถ่าย ช่วยให้กระบวนการต่างๆในร่างกายดำเนินการได้อย่างมีประสิทธิภาพ



4.ลดขนมขบเคี้ยวและขนมอบที่มีแต่ไขมัน เกลือ น้ำตาล และสารปรุงแต่งอื่นๆ ที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ หากอยากกินขนมอาจหันมากินขนมที่มีส่วนผสมของธัญพืช เช่น ขนมปังโฮลวีต คุกกี้หรือแคลกเกอร์ผสมมอลต์ เป็นต้น เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้กับขนมที่มีประโยชน์น้อย อย่างไรก็ตาม ควรกินในปริมาณที่เหมาะสมเท่านั้น



5.กินปลา ไข่ และเนื้อสัตว์ไม่ติดมัน อาหารเหล่านี้เป็นแหล่งโปรตีนที่ดี ช่วยเสริมสร้างร่างกายในผู้เยาว์ และซ่อมแซมเนื้อเยื่อที่เสื่อมสลายในผู้สูงวัย เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรคติดเชื้อ นอกจากนี้ยังมีโปรตีน เหล่านี้ยกเว้นไข่แดงที่มีไขมันน้อย จึงลดความเสี่ยงโรคอ้วน ไขมันในเส้นเลือดสูง เป็นต้น



6.ดื่มเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพแทนน้ำหวาน น้ำอัดลม หรือเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ ซึ่งมีน้ำตาลสูง การดื่มน้ำผักและผลไม้ หรือเครื่องดื่มมอลต์ก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ทั้งคาร์โบไฮเดรต โปรตีน วิตามิน และแร่ธาตุกว่า 50 ชนิด เหมาะกับคนทุกเพศทุกวัย อาจใช้เป็นอาหารเสริมสำหรับผู้สูงอายุ ผู้ป่วยพักฟื้น สตรีมีครรภ์ นักกีฬา นอกจากนี้หากดื่มก่อนนอนจะช่วยให้หลับง่าย เพราะมีสารทริปโตแฟนที่ช่วยให้ประสาทผ่อนคลาย แต่ต้องชงโดยใช้น้ำตาลให้น้อยที่สุด



7.ดื่มน้ำและนมให้เป็นนิสัย ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 8 แก้ว ตามคำแนะนำของแพทย์ เพื่อช่วยระบบขับถ่ายและมีน้ำหล่อเลี้ยงในเซลล์ต่างๆของร่างกาย และควรดื่มนมอย่างน้อยวันละ 1-2 แก้วทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ เพราะนมอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการสูง เช่น โปรตีน คาร์โบไฮเดรต วิตามิน แคลเซียม เป็นต้น ช่วยในการเจริญเติบโตของเด็กๆ ช่วยให้กระดูกและฟันแข็งแรง ชนิดของนมขึ้นอยู่กับวัย หากเป็นเด็กที่กำลังเจริญเติบโตควรเป็นนมจืดธรรมดา แต่ในผู้สูงอายุควรเป็นนมพร่องมันเนย เพื่อลดโคเลสเตอรอล หรืออาจเลือกนมผสมมอลต์เพื่อเพิ่มคุณค่าทางโภชนาการให้สูงขึ้น



อย่างไรก็ตาม การกินเพื่อสุขภาพมีหลากหลายวิธี อยู่ที่ว่าใครจะเลือกปฏิบัติแบบไหน หลักง่ายๆคือกินอาหารให้ครบ 5 หมู่ ครบทุกมื้อ แต่เลือกชนิดและปริมาณที่เหมาะสม นอกจากนี้ต้องออกกำลังกายควบคู่ไปด้วยจึงจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรง อารมณ์สดใส และห่างไกลจากโรคร้ายต่างๆ